ลวดวายคัต Brass EDM Wire
AEC ทำให้การแข่งขั้นทางธุรกิจไม่ได้เกิดกับบริษัทในประเทศเพียงอย่างเดียว AEC ยังทำให้เราต้องแข่งกับประเทศ AEC ด้วยกันอีกด้วย ทำให้เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาโรงงานของเราให้ทันต่อการเปิดประเทศอีกด้วย
ในยุโรปและอเมริการ ต่อมาก็ญี่ปุ่นและอินเดีย มีลวดที่ใช้กับเครื่องวายคัตจะเป็นลวด coated wire ทั้งสิ้น โดยลวด coated wire นี้ ผลิตออกมาหลายชนิดเพื่อให้เหมาะสมกับงาน ความหนา ผิวงาน ลักษณะการตั้งค่าไฟของเครื่อง wire cut แต่ละรุ่นเครื่องและแต่ละยี่ห้อของเครื่องวายคัตอีกด้วย
สาเหตุที่ต้องเลือกลวดให้เหมาะสมกับลักษณะดังกล่าว พอสรุปเป็นสังเขปได้ดังนี้
1) เพื่อให้ลวดสามารถนำกระแสไฟฟ้าได้เหมาะสมกับชิ้นงาน เช่น
ชิ้นงานเป็นทองแดง ลวดที่นำมาตัดควรเป็นทองเหลือง
ชิ้นงานที่เป็นเหล็กเกรด ลวดที่นำมาตัดความเป็นลวดทองแดง
เพราะทองแดงนำกระแสไฟฟ้าได้ดีกว่าทองเหลือง ดังนั้นถ้าชิ้นงานที่นำมาตัดเป็นเหล็ก ถ้าเราใช้ลวดทองเหลืองตัด กับใช้ลวดทองแดงตัด แน่นอน ความเร็วที่ได้ย่อมต่างกัน ผิวงานที่ได้ย่อมเรียบต่างกัน
ลวดโดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของ Cu และ ZN โดย Cu จะเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าที่ดี ดังนั้นลวดที่มี Cuมากจะกินชิ้นงานได้เร็วและเรียบกว่าลวดที่มี Cu น้อย
นอกจากชิ้นงานเป็นทองแดงและเหล็กแล้วยังมีชิ้นงานประเภท carbide, aluminum, graphite ก็จะนำไฟฟ้าแตกต่างกัน ลวดที่นำมาตัดก็จะแตกต่างกันออกไป
2. เลือกลวดให้เหมาะสมกับความหนาและ Taper องศาของงาน ส่วนสำคัญอีกอย่างที่ควรทราบสำหรับการเลือกลวดคือ tensile strength
ในเบื้องต้น tensile strength จะถูกระบุจากเครื่องจักรมาแล้ว เช่น เครื่องจากยุโรป เช่น Charmilles,Agie ลวดที่ใช้มาตรฐานจะต้องมีค่า tensile อยู่ที่ 510 N/mm2 สำหรับเครื่องญี่ปุ่นหรือผลิตตามมาตรฐาน JIS จะมีค่า tensile strength มาตรฐานอยู่ที่ 980N/mm2 (100 Kg/mm2)
ลวด wire cut ในบ้านเราที่มีขายพอจะแบ่งได้ 4 ชนิด ดังนี้
ชนิดของลวด Wire Cut Tensile Strangth
(S) Soft 390 – 490 N/mm2
(SH) Simi Hard 491 – 700 N/mm2
(H) Hard 900 N/mm2
(SPE) Special (Elongation mm 2%) 900 N/mm2
Taper Highest Cutting Rate at workpiece height of
Precision <150mm. >150 mm.
<7 SH,H,SPE SH,H,SPE H,SPE
8 – 20 SH,S S, SH SH,H
>20 SS SH,H SH,H
3. ความเหมาะสมกับเครื่องจักร
ในการ set กระแสไฟฟ้าของเครื่องจักร (Condition ของเครื่อง) สามารถตั้งกระแสไฟตามประเภทของลวดแต่ละชนิดได้กัน ดังนั้นบางครั้งเราจะพบว่า การตัดงานชิ้นเดียวกันแต่ใช้ลวดคนละชนิดกันจะมีความแตกต่างกันทั้งความเร็ว,ควมมละเอียด,ขนาดของชิ้นงาน ถึงแม้จะเป็นลวดทองเหลืองเหมือนกัน
ในยุโรปจะมีลวดที่ใช้กันทั่วไป โดยจะเป็นลวด Coate Wire ซึ่งจะมีลวดให้เลือกตามความเหมาะสมกับชิ้นงาน Meterial และลักษณะงาน เช่น
1. Cobra Cut มีชนิด A, B, D, E, S
2. Bronco Cut มีชนิด X, HX
3. Mega Cut มีชนิด A, D, T, HS
4. Brass Wire
โดยลวดแต่ละชนิดดังกล่าวข้างต้น จะเหมาะสมกับชิ้นงานแต่ละชนิด ซึ่งการเลือกใช้ลวดจะทำให้ตัดงานได้เร็วขึ้น ได้ผิวงานละเอียดขึ้น (ไม่จำเป็นต้องตัดงานหลายรอบ) สามารถควบคุมค่า Clearanceได้ดีกว่า กล่าวคือลวดแต่ละชนิดจะมี
Conductivity = 9m แตกต่างกัน
การเลือกลวดให้เหมาะกับลักษณะงาน จะทำให้เราไม่จำเป็นต้องปรับความเร็วของการ feed เส้นลวด และไม่ต้องปรับแรงตึงลวด เพื่อป้องกันลวดขาด ในกรณีที่ตัดงานหนาหรือเพิ่มกระแสไฟเพื่อต้องการตัดงานเร็ว
นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น สิ่งที่ควรพิจารณาอีกประการคือผู้ผลิต เพราะปัจจุบันมีลวดขายอยู่หลายยี่ห้อ ทั้งเป็นยี่ห้อของโรงงานที่ผลิตเอง และเป็นยี่ห้อที่จ้างผลิตแล้วให้ตีตราแบรนด์เอง ดังนั้น ควรเลือกลวดที่มีมาตรฐานรองรับ เพราะกระบวนการในการผลิตที่มีมาตรฐานทำได้ยากมาก เช่น
-การควบคุมขนาดของลวด Diameter to lerance ต้อง
มีค่า +/- 0.001 มม. และต้องสม่ำเสมอตลอดทั้งเส้น
-Tensile Strength
-Conductivity
-การอบลวด และการอบน้ำยาที่มีคุณภาพ
-ความยาวของลวด
-
การใช้ลวดที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อใช้แล้วจะมีผลต่อตัวเครื่องจักรและชิ้นงาน
-ควบคุมขนาดไม่ได้
-ผิวงานไม่เรียบ
-ลวดขาด
-ชิ้นงานเป็นรอยไหม้
-มีความเขม่าเกาะที่ชิ้นงาน
-อะไหล่เครื่องจักรต้องเปลี่ยนเร็วขึ้น เช่น หัวไกด์ Diamond Guide,Conductivity หรือ Power feed Contact, โรลเลอร์ดึงลวด Roller เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ต้นทุนการผลิตชิ้นงานสูงขึ้น และได้งานไม่มีคุณภาพทำให้ราคาลดลง ถึงอาจจะต้องเสียเงินเสียเวลาทำชิ้นงานใหม่