วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

เรื่องงานโลหะแผ่นไว้ใจเรา IIT GROUP งานซ่อมเครื่องตัด CNC ลูกค้าซื้อมาใช้งานนาน ไม่มีคนซ่อมมาที่เราได้ครับ ซ่อมได้ทุกยี่ห้อ ซ่อมดี ซ่อมเร็ว ราคามิตรภาพ จัดจำหน่าเครื่องตัด เครื่องพับ เครื่องพันช์ เครื่องจักรเกี่ยวกับงานโลหะแผ่นทุกชนิด สนใจโทรเลยครับ ไม่ซื้อไม่ว่า พร้อมให้คำปรึกษาทุกด้านครับ 







สนใจปรึกษาและสอบถามได้ที่ เอกชัย ไอไอที กรุ๊ป 084-7711559 / id line jame310140 หรือ www.iitgroup.in.th

เราพร้อมให้บริการ คำแนะนำ ปรึกษา เกียวกับ เครื่องพันช์ เครื่องปั้ม Turret Punch Press Murata 

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

ความเข้าใจในการเลือกใช้เครื่อง CNC
เหตุผลที่ต้องใช้เครื่อง CNC
บรรดาผู้ที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมเครื่อง CNC ต่างตระหนักรู้ดีถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของเจ้าเครื่องชนิดนี้ จึงเป็นเหตุให้ใครต่อใครยอมควักกระเป๋าลงทุนซื้อ เพื่อผลทางธุรกิจได้ไม่ยาก เรามาดูเหตุผลที่ต้องใช้เครื่อง cnc กันดีกว่าว่ามันดีอย่างไร ทำไมใครๆก็ต้องยอมซื้อเจ้าตัวเครื่องนี้มาใช้งาน
1. มีความแม่นยำสูงในการปฏิบัติงาน เพราะชิ้นงานทุกชิ้นต้องการขนาดที่แน่นอน
2. ชิ้นงานทุกชิ้นมีคุณภาพสม่ำเสมอเท่ากันหมด เนื่องจากผลิตโดยใช้โปรแกรมในการควบคุมการทำงานของเครื่องจักร CNC
3. โอกาสเกิดความเสียหายต่อชิ้นงานหรือต้องแก้ไขชิ้นงานจะมีน้อยมากหรือแทบจะ ไม่มีเลย เพราะชิ้นงานที่ทำจะใช้โปรแกรม ในการควบคุม
ถ้าเกิดปัญหาข้อผิดพลาดก็จะแก้ไขได้ที่ตัว โปรแกรม
4. สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องหยุดพักเครื่อง เพียงแต่ต้องมีผู้ควบคุมประจำเครื่อง
5. มีความรวดเร็วสูงในการผลิต ทำให้ได้ผลผลิตสูง และสามารถกำหนดระยะเวลาในการผลิตชิ้นงานได้ว่าใช้เวลาในการทำงานเท่าไร
6. สามารถคาดคะแนและวางแผนการผลิตได้อย่างแม่นยำ เพราะรู้ระยะเวลาในการผลิต สามารถกำหนดหรือส่งสินค้าได้ตรงตามวันและเวลา
7. สามารถสลับเปลี่ยนรูปแบบของชิ้นงานได้หลากหลายรูปแบบ เนื่องจากสะดวกและรวดเร็วในการทำงานเพราะใช้โปรมแกรมในการสั่งงาน
8. เมื่อเปรียบเทียบจำนวนผลผลิตที่เท่ากัน เครื่องจักร CNC ใช้พื้นที่น้อยกว่าและลดพื้นที่การจัดเก็บชิ้นงาน
9. มีความสะดวกและรวดเร็ว สำหรับใช้ในการผลิตชิ้นงานต้นแบบที่มีการแก้ไขบ่อย ๆ เพราะเวลาแก้ไขสามารถแก้ไขได้ที่โปรแกรม
10. ชิ้นงานที่มีความซับซ้อนสูงและมีหลายขั้นตอนในการผลิต สามารถใช้เครื่องจักร CNC เพียงเครื่องเดียวในการผลิต ทำให้ไม่เสียเวลามาก
11. ลดขั้นตอนในการตรวจสอบคุณภาพ เพราะชิ้นงานนั้นจะได้ขนาดเท่ากันทุกชิ้น แต่ควรที่จะกำหนดค่าของความเร็วรอบที่จะใช้ ความเร็วในการตัดตัดให้เหมาะสมเพื่อลดอายุการใช้งานของทูล
12. ทำให้สามารถใช้ ทูล หรือ เครื่องมือตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจะต้องคำนวณค่าต่าง ๆ มา ก่อนลงมือปฏิบัติงานกับเครื่องจักร CNC
13. ลดแรงงานในสายการผลิตลงเนื่องจาก ผู้ควบคุมเครื่อง 1 คน สามารถคุมได้ 3 -4 เครื่อง
14. ใช้อุปกรณ์เสริมน้อย แต่ผู้ใช้จะต้องเข้าใจโปรแกรมในการสั่งงาน
คงจะทราบกันแล้วใช่มั้ยล่ะครับว่าทำไมเจ้าของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมต่างๆถึงยอมจ่ายกับเครื่อง cnc เพราะมันดีอย่างนี้นี่เอง ไม่มีไม่ได้แล้วใช่มั้ยล่ะครับประสิทธิภาพของเจ้าเครื่องนี้ล้นเหลือจริงๆ

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

เอ็นมิล ดอกกัด Kennametal

c-03

Kennametal Solid Carbide End Mills ดอกกัด เอ็นมิล แบบ คาร์ไบด์ทั้งแท่ง จาก เคนนาเม็ททอล USA

・Square-End Mills : Finishing (งานกัดละเอียด)
・Square-End Mills : Rough and Semi-finishing (งานกัดกึ่งละเอียด/หยาบ)
・Ball Nose-End Mills : Finishing (งานกัดหยาบ)

ดอกกัด ดอกเอ็นมิลคาร์ไบด์ เคนนาเม็ททอล (Kennametal endmill)

c-03-01
ดอกกัด เอ็นมิลคาร์ไบด์ Kennaemtal เคลือบผิวไดมอนด์
สำหรับกัดวัสดุ non-ferrous
ดอกกัด สำหรับกัดร่อง slotting และกัดข้าง side milling
เหมาะกับอุตสาหกรรมยานบิน ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน และงานทั่วไป

c-03-02
ดอกกัด เอ็นมิลคาร์ไบด์ KENNAMETAL HARVI
ออกแบบให้ลดแรงสะท้านได้ Chatter free ทำให้ผิวงานออกมาดี
ช่วยให้กัดได้นุ่มนวล จากระยะฟันของเอ็นมิลที่ไม่เท่ากัน
ได้ผิวงานที่ดีมาก สามารถกัดหยาบ กัดละเอียดได้ในดอกเดียวกัน
ดอกกัด เหมาะกับเหล็กเหนียว แสตนเลส เหล็กหล่อ และ เหล็กทนความร้อนสูง

c-03-03
ดอกกัดละเอียด แบบ 3ฟัน และ 5 ฟัน HPFSS
KENNAMETAL HI PERFORMANCE FINISHING ENDMILLS
ดอกกัด เอ็นมิลคาร์ไบด์ กัดได้ทั้งร่อง และกัดข้าง
เหมาะกับอุตสาหกรรม ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องบิน เครื่องมือแพทย์ และงานทั่วไป
มี shankแบบกลม และ weldon shank

c-03-04
ดอกกัด เอ็นมิลคาร์ไบด์ สำหรับ อลูมิเนียม แบบ 2ฟัน และ 4ฟัน
KENNAMETAL HI PERFORMANCE FOR ALUMINUM
ดอกกัด กัดได้ทั้งร่อง และกัดข้างเหมาะกับอุตสาหกรรมยานบิน
ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน และงานทั่วไป มีมุมกัดที่คม ดอกกัดมีด้ามเรียบ

c-03-05
ดอกกัดหัวบอล 4ฟัน เอ็นมิลคาร์ไบด์
high precision tolerance ให้ผิวดี กัดได้เร็ว
KENNAMETAL HPBNDM HI PERFORMANCE BALLNOSE
สำหรับงาน เหล็กแข็ง 50-68HRC เช่น เหล็ก SKD11/61
กัดข้าง และ กัดงาน 3D ได้

c-03-06
ดอกกัด เอ็นมิลคาร์ไบด์ สำหรับเหล็กเหนียวและ แสตนเลส
KENNAMETAL HPRSS ROUGHING ENDMILL
เหมาะสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องบิน และงานกัดทั่วไป
ออกแบบร่องคายเศษ ป้องกันเศษพอกได้ดี

c-03-07
เอ็นมิลคาร์ไบด์ สำหรับเหล็ก แสตนเลส และเหล็กทนความร้อนสูง
KENNAMETAL HPRST ROUGHING ENDMILLS
ดอกกัด เหมาะกับอุตสาหกรรม แม่พิมพ์ ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน เครื่องมือแพทย์ และงานทั่วไป

c-03-08
ดอกกัด เอ็นมิลคาร์ไบด์ สำหรับเหล็กเหนียวปานกลาง และ แสตนเลส
KENNAMETAL MDRHEC ROUGHING ENDMILLS
เหมาะสำหรับกัดงานทั่วไป และงานแม่พิมพ์
ทำร่อง slotting และ กัดข้าง
ทำมุมแชมเฟอร์ได้ chamfer corner cutting

c-03-09
เอ็นมิลคาร์ไบด์ Kennametal SFRHEC
สำหรับกัดงานอลูมิเนียม
กัดทำมุมแชมเฟอร์ได้ chamfer corner cutting

c-03-10
ตัวแทนผลิตเอ็นมิลและจำหน่ายเอ็นมิล ดอกกัด, เอ็นมิล, ดอกเอ็นมิล, ดอกEndmill Kennametal, Kennametal Endmill, ดอกกัด 2 ฟัน, ดอกกัด 3 ฟัน, ดอกกัด 4 ฟัน, ดอกกัด 6 ฟัน, 2 Flutes, 3 Flutes, 4 Flutes, 6 Flutes, mold, die, งานกัดแม่พิมพ์, กัดโมลด์, กัดเหล็กเหนียว, กัดเหล็กหล่อ, กัดทองเหลือง, กัดแสตนเลส

เข้าใจว่าที่คุณบอกไปซื้อนี่คงจะซื้อตามร้านค้าไม่ใช่ซื้อจากบริษัทตัว แทนที่มีเซล์แนะนำ ผมขอแนะนำหลักง่ายๆถ้าไม่มีแคทตาล็อกครับ ให้อาศัยดูจาก ข้อมูลที่ระบุอยู่หลังกล่องเม็ดมีดครับ. ส่วนใหญ่จะมีระบุข้อมูลเกียวกับเม็ดมาให้จะคล้ายๆกันดังนี้
1.ตัวอักษรและสี
P หรือสีฟ้า. คือใช้ในกลุ่มเหล็ก
M หรือสีเหลือง. คือใช้ในกลุ่มสแตนเลส
K หรือสีแดง. คือใช้ในกลุ่มเหล็กหล่อ
N หรือสีเขียว. คือวัสดุนอกกลุ่มเหล็กเช่น อลูมิเนี่ยม,ทองเหลือง
ตัวย่ออื่นๆผมไม่ชัวร์และไม่ค่อยได้ใช้ครับ ส่วนมากจะมีสัญลักษณ์ตัวอักษร หรือสีอยู่หลังกล่องโดยอาจจะระบุเป็น marking เช่นจุดหรือแถบสีให้เรารู้ว่ามันใช้งานในกลุ่มวัสดุใด เช่นของwalter หรือseco mitsubishiบางรุ่น. ถ้าระบุให้รู้ว่าเป็นสีเหลืองจะหมายถึงใช้กับสแตนเลสได้. หรือบางที่อาจจะระบุเป็น p และ m หมายถึงใช้ได้ทั้งเหล็กและสแตนเลสครับ
grade เม็ดมีด เกรด วัสดุ กลึง กัด เจาะ การเลือกเกรด สำหรับกลุ่มเหล็ก แสตนเลส เหล็กหล่อ อลูมิเนียม อัลลอย เหล็กทนความร้อน
2.ข้อมูลการตัดเฉือน
บางยีห้อระบุcutting condition มาหลังกล่องเช่นกันครับ แต่จะละเอียดมากน้อยต่างกันไป. ตัวอย่างเช่น sandvic นี่จะระบุครบครับทั้ง vc(ความเร็วตัด) ,feed(ความเร็วป้อน),depth(ความลึกป้อน)
3.chip breaker หรือลายเม็ดมีด
อันนี้พอบอกเราได้ครับแต่อาจต้องชำนาญหน่อย. อย่างที่คุณสืบศักดิ์แนะนำว่าเม็ดส่วนใหญ่กินเหล็กได้ครับ. แต่Chip แบบไหนเหมาะสมผมมีข้อสังเกตุง่ายๆครับ.
3.1.เม็ดที่ไม่มีลายเลยเรียบๆแบนๆ. อันนี้เหล็กหล่อชัวร์ครับ
3.2.เม็ดที่มีร่องลายส่วนใหญ่กลึงเหล็กครับ. แต่ความสามารถต่างกันไปตามลักษณะลาย
3.3.เม็ดที่มีลายและร่องที่เม็ดค่อนข้างลึก-สันคมมีดบางมักใช้กลึงสแตนเลสได้ดีครับ
3.4.เม็ดที่คมมากๆแบบคมมีดและเม็ดจะไม่เคลือบผิว(ไม่ใช่สีทองหรือม่วง)เม็ด จะสีขาวหรือเงาเป็นโครเมี่ยม. พวกนี้เป็นเม็ดกลึงอลูมิเนี่ยมหรือวัสดุกลุ่ม N ครับ
Chip breaker ร่องคายเศษ เม็ดมีด เกรด วัสดุ กลึง กัด เจาะ การเลือกเกรด สำหรับกลุ่มเหล็ก แสตนเลส เหล็กหล่อ อลูมิเนียม อัลลอย เหล็กทนความร้อน ร่องตัดเศษ คายเศษ ชิพ
4.เกรดของมีด
เม็ดมีดทุกยีห้อมักจะสร้างระบบหมายเลขเกรดของตัวเองขึ้นมาโดยจะกำหนดเกรดตามกลุ่มวัสดุครับ
ดังนั้นถ้าเราจำเกรดหรือข้อสังเกตุของเกรดมีดเช่น เลขหรืออักษรตัวหน้า ก็สามารถระบุเม็ดได้ว่าใช้กับอะไร
เช่น. Sandvic ถ้าขึ้นต้นด้วย4 เช่น4225 อันนี้เกรดเหล็กครับ. ถ้าเป็นเลข 3ก็เหล็กหล่อ. หรือWalter. ถ้าขึ้นด้วย wak เป็นเหล็กหล่อครับ. วิธีนี้คุณควรศึกษาแคทตาล็อกเม็ดมีดหรือถ้าเคยซื้อและรู้ว่าเป็นเม็ดงาน วัสดุอะไร. ก็ให้จำเกรดมันเอาไว้ครับเวลาเจอเม็ดอื่นก็สามารถเทียบเคียงได้สุดท้ายที่ อยากแนะนำ คือควรหาแคทตาล็อกมาศึกษาครับ. อาจจะไปขอตามงานแสดงเครื่องจักรแล้วให้เซลล์แนะนำวิธีดูให้ครับ. มาตรฐานในการระบุเม็ดเหมือนกันแตกต่างกันพวกเกรดและรหัส ลายมีดของแต่ละเจ้าครับ
เครื่องพับอัจฉริยะ ครบทุกเรื่องในเครื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นงานตัวอย่าง งาน Precision ที่เน้นความแม่นยำสูง หรือ งาน Mass Production งานผลิตจำนวนมากๆ โดยให้คุณภาพงานออกมาเท่ากันทุกชิ้น  ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากญี่ปุ่น ทำให้เครื่องพับ MURATA ไม่เป็นสองรองใคร พร้อมการบริการดูแลหลังการขายโดยทีมงานมืออาชีพ ที่พร้อมจะให้คำปรึกษา แนะนำการทำงานเพื่อลดต้นทุน ลดเวลา เพิ่มมูลค่าในสินค้าเพื่อเพิ่มการแข่นขันในตลาดยุคนี้ 





สนใจปรึกษาและสอบถามได้ที่ เอกชัย ไอไอที กรุ๊ป 084-7711559 / id line jame310140 หรือ www.iitgroup.in.th

เราพร้อมให้บริการ คำแนะนำ ปรึกษา เกียวกับ เครื่องพันช์ เครื่องพับ เครื่องตัด เครื่องปั้ม Turret Punch Press Murata Mutatec

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

แรงต่อเนื่องไม่หยุดกับเครื่องพันช์ MURATA สั่งซื้อกันไม่ขาดสาย ช่วงนี้มาพร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ราคาเร้าใจ จาก IIT GROUP วันนี้ขอนำเสนอ MURATA รุ่น MOTORUM M2048TE เครื่องกำลังเดินทางลงเรือมาแล้ว สำหรับลูกค้าท่านใดที่สนใจ จับจองติดต่อมาได้เลยครับ ของดีราคาพิเศษ มีไม่บ่อย ไม่ต้องรอนาน ติดตั้งทำงานได้ทันที


สนใจปรึกษาและสอบถามได้ที่ เอกชัย ไอไอที กรุ๊ป 084-7711559 / id line jame310140 หรือ www.iitgroup.in.th

เราพร้อมให้บริการ คำแนะนำ ปรึกษา เกียวกับ เครื่องพันช์ เครื่องปั้ม Turret Punch Press Murata 


การตัดด้วยระบบวอเตอร์เจ็ท (Waterjet Cutting)

Request Information About Flow Water Jet Technology
Waterjet system, Water jet, Superior Edge QualityWaterjet ความเป็นไปได้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด

เทคโนโลยีการตัดด้วยระบบ วอเตอร์เจ็ท (Waterjet System)เป็นเครื่องมือที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เนื่องจากมีความสามารถรอบตัวและง่ายต่อการนำไปใช้งาน ผู้ผลิตต่างเล็งเห็นว่าการนำกรรมวิธีการตัดด้วย วอเตอร์เจ็ท (Waterjet) หรือเรียกได้ว่าเป็น เครื่องตัดพลังน้ำ เพื่อนำไปใช้ในงานตัดและงานกลึงนั้นไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ทั้งตัดงานแข็ง เช่น ใช้เป็น เครื่องตัดหิน ในงานตัดหิน ตัดโลหะ หรือ เป็นเครื่องตัดงานอ่อน เช่น กระดาษ ยาง โฟม โรงงานผลิตเครื่องจักรทุกขนาดตระหนักถึงประสิทธิภาพและผลผลิต ที่เป็นเลิศจากการใช้ระบบแรงดันสูง UHP ในการนำไปใช้เพื่อกรรมวิธีการ ต่างๆ วอเตอร์เจ็ท (Waterjet) จึงกลายเป็นทางเลือกของโรงงานต่าง ๆ มากมาย นับตั้งแต่เทคโนโลยีแอบราซีพวอเตอร์เจ็ทAbrasive Waterjet (AWJ) ได้ถูกคิดค้นขึ้นโดย บริษัท โฟล ในต้นยุคปี 1980 เทคโลยี วอเตอร์เจ็ท นี้ก็ได้มีวิวัฒนาการจากการศึกษาค้นคว้าและการพัฒนาระบบให้ดีขึ้นเรื่อยมา
อะไรทำให้ระบบ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet) เป็นที่นิยม ?
ระบบ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet) ไม่ต้องการกระบวนการขัดผิววัสดุหลังการตัดมากนัก สามารถตัดชิ้นส่วนได้ขนาดพอดีกับแบบ โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายหรือเสียรูปจากการโดนความร้อน หรือความเค้นของวัสดุที่เกิดขึ้นได้จากวิธีการตัดชนิดอื่น อีกทั้งยังสามารถตัดแนวโค้งแคบ ๆ และใช้วัตถุดิบในการตัดชิ้นส่วนได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากสามารถวางแบบให้ชิดกันได้ ด้วยระบบควบคุมการทำงาน และการปฏิบัติงานโดยอัตโนมัติของโปรแกรม FlowMaster ทำให้ระบบ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet) นั้นใช้ง่ายและสะดวกเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้ว ผู้ปฏิบัติงานสามารถเข้ารับการฝึกอบรมและปฏิบัติงานตัดชิ้นส่วนที่มีคุณภาพ ได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนี้ ระบบ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet) สามารถตัดวัสดุได้ทุกประเภทโดยขอบงานตัดจะมีความลื่นเรียบ โดยระบบ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet) นี้ จะใช้เป็น เครื่องตัดพลังน้ำ และ เครื่องตัดหิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ซึ่งประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายต่อชิ้นงาน ซึ่งจะเห็นได้ชัดในอุตสาหกรรมการผลิตที่คิดค่าใช้จ่ายเป็นรายชั่วโมง
การตัดด้วยระบบ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet) ให้ประโยชน์อย่างมากมายแก่โรงงานทุกประเภท ซึ่งที่เห็นเด่นชัดจะได้แก่:
Waterjet, Water Jet Cuts a Variety of Materialsความสามารถรอบตัวที่ไม่มีใครเทียบได้ 
ระบบ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet System) ของโฟล ทำให้ท่านตัดวัสดุได้หลายรูปแบบ อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง ขนาด หรือวัสดุใดก็ตาม ซอฟต์แวร์ FlowMaster ที่ใช้งานได้ง่ายของเรานี้ ให้ประสิทธิภาพด้านความ หลากหลายในการนำไปใช้งานให้กับธุรกิจของท่าน
ความสามารถในการนำ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet) ไปใช้งานที่ขยายวงกว้างขึ้น
ไม่ว่าธุรกิจของท่านจะเกี่ยวกับยานยนต์ อากาศยาน หินและกระเบื้อง กลึงและหล่อโลหะ ทอผ้า หรือโรงงานเบ็ดเตล็ด ท่านสามารถนำไปใช้เป็น เครื่องตัดพลังน้ำ หรือ เครื่องตัดหิน ที่ตัดได้ทั้งโลหะ หิน พลาสติก วัสดุผสมสังเคราะห์ แก้ว เซรามิก หรือยาง ที่มีความหนาได้มากสุดถึง 8 นิ้ว โดยไม่ทิ้งร่องรอยที่เกิดจากความร้อนและได้ขอบชิ้นงานที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม
การลดค่าใช้จ่ายด้านวัตถุดิบและการผลิต ด้วย วอเตอร์เจ็ท Waterjet
ระบบ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet) ของโฟล เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งง่าย ทำให้ท่านประหยัดเวลาอันมีค่าได้ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet) สามารถตัดวัสดุได้อย่างแม่นยำ ขอบงานเรียบ สูญเสียเนื้อวัสดุเพียงน้อยนิดและลดปริมาณเศษวัสดุ ช่วยประหยัดเงินในการใช้วัตถุดิบเป็นอย่างมาก
สามารถใช้ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet) ร่วมกับเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว
ทุกวันนี้โรงงานย่อยต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มวอเตอร์เจ็ท (Water Jet) ในกระบวนการทำงาน เพื่อเสริมอุปกรณ์การตัดประเภทอื่น เช่น ในระบบ EDM เลเซอร์ มิลลิ่ง และการทำพลาสมา ขณะที่แต่ละโรงงานต่างก็มีความต้องการในงานตัดแต่ละงานไม่เหมือนกัน ทำให้โรงงานเหล่านั้นเล็งเห็นถึงคุณค่าในการใช้ วอเตอร์เจ็ท (Water Jet)ในการปฏิบัติงานต่าง ๆ ทำให้เกิดผลผลิตและผลกำไรมากยิ่งขึ้น
Increase Productivity with Waterjet, Water Jetเทคโนโลยี วอเตอร์เจ็ท (Waterjet)
เมื่อน้ำได้รับแรงดันสูงถึง 60,000 ปอนด์ (หรือมากกว่านั้น) ต่อตารางนิ้ว (psi) และถูกบังคับให้ไหลผ่านปากท่อฉีดน้ำเล็ก ๆ มันก็สามารถ ตัดวัสดุที่มีความอ่อนได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร กระดาษ ผ้าอ้อมเด็ก ยาง หรือโฟม เมื่อเติมสารกัดกร่อน เช่นโกเมน เข้าไปในกระแสน้ำ จะเกิดกระบวนการแอบราซีพวอเตอร์เจ็ท “Abrasive Waterjet” ซึ่งสามารถตัดวัสดุที่มีความแข็งได้ โดยเป็น เครื่องตัดพลังน้ำ และ เครื่องตัดหิน ที่ตัดได้ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก วัสดุผสมสังเคราะห์ หินและแก้ว โฟล อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นผู้คิดค้นกระบวนการ แอบราซีพวอเตอร์เจ็ท "Abrasive Waterjet" ขึ้น และในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ได้จำหน่ายระบบนี้ไปแล้วเป็นจำนวนถึง 4 เท่าจากยอดขายรวมของผู้ผลิตรายอื่น ๆ

คุณสมบัติที่สำคัญของวัสดุมีดกลึง

มีดกลึง (Cutting Tool)

คือ เครื่องมือที่ใช้ในการขึ้นรูปชิ้นงานให้เป็นรูปร่างต่างๆ
e-02-1

คุณสมบัติที่สำคัญของวัสดุมีดกลึง (Tool Material)

– ความสามารถต้านทานการอ่อนตัวที่อุณหภูมิสูง ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำ
– ทนทานต่อการขัดสี และมีความเหนียวแน่น เพียงพอที่จะต้านทานการแตกร้าวได้ ชุดเครื่องมืออาจทำขึ้นจากวัสดุมากกว่าหนึ่งชนิด เพื่อวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน เช่น การกลึงขนาดชิ้นงานที่ต่างกัน จำต้องใช้เครื่องมือที่ต่างกัน

e-02-2

วัสดุหลักที่ใช้ในการทำมีดกลึง

1. เหล็กกล้าคาร์บอนสูง (High Carbon Steel) ใช้กันในช่วงที่ยังไม่มีการค้นพบเหล็กกล้าความเร็วสูง โดยวัสดุนี้จะมีปริมาณคาร์บอน 0.8% – 1.20% จึงสามารถทำการชุบแข็งได้ดีและด้วยกรรมวิธีทางความร้อนที่เหมาะสมอาจเพิ่ม ความแข็งของมันจนมีค่าใกล้เคียงกับเหล็กกล้าความเร็วสูงต่างๆ หรืออาจทำให้มีความเหนียวแน่นได้ตามต้องการ อย่างไรก็ตามเหล็กกล้านี้มีความสามารถในการชุบแข็งหรือความลึกในการชุบแข็ง ต่ำและจะสูญเสียความแข็งที่อุณหภูมิประมาณ 300 องศา ดังนั้นจึงถูกจำกัดใช้เฉพาะเครื่องมือตัดขนาดเล็กที่มีความเร็วไม่เกิน 0.15 m/s (ไม่เหมาะสมในการตัดด้วยความเร็วสูง หรือใช้ในงานหนัก) แต่จะใช้ในการปฏิบัติกับวัสดุอ่อน และใช้ควบคู่กับสารหล่อเย็น (Coolant)

e-02-3
2. เหล็กกล้าความเร็วสูง (High Speed Steel: HSS) หรือเหล็กรอบสูง จะมีส่วนประกอบของโลหะผสมพื้นฐาน เช่น คาร์บอน (Carbon) 7%, โครเมี่ยม (Chromium) 4%, ทังสเตน (Tungsten), วานาเดียม (Vanadium), โมลิบดีนัม (Molybdenum), โคบอลต์ (Cobalt) มีความสามารถในการชุบแข็งได้ดีเป็นพิเศษ และสามารถรักษาสภาพของคมตัดที่ดีไว้ได้จนถึงอุณหภูมิประมาณ 650 องศา ซึ่งสภาพนี้เป็นคุณสมบัติในด้านความต้านทานต่อการอ่อนตัวที่อุณหภูมิสูงหรือ ความแข็งขณะร้อนแดง (red hardness) อันเป็นคุณสมบัติที่ต้องการมากที่สุดในเครื่องมือตัดต่างๆ โดยเหล็กกล้าทำเครื่องมือตัดชนิดแรกที่มีคุณสมบัติดังกล่าถูกพัฒนาขึ้นโดย Frederick W. Taylor และ M. White ในปี ค.ศ. 1900 ซึ่งทำโดยการเติมทังสเตน (Tungsten) 18% และโครเมี่ยม 5.5% ลงเป็นธาตุผสมในเหล็กกล้า ส่วนผสมนี้สืบทอดมาจนถึงHighSpeed5ปัจจุบัน

เหล็กกล้าความเร็วสูงสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

1. เหล็กกล้าความเร็วสูง 18-4-1 เหล็กกล้าชนิดนี้ประกอบด้วยทังสเตน 18% โครเมี่ยม 4% และวานาเดียม1% จัดได้ว่าเป็นเหล็กกล้าที่ใช้ทำเครื่องมือได้เอนกประสงค์ที่ดีที่สุดตัว หนึ่ง
2. เหล็กกล้าความเร็วสูงจากพลวง (Molybdenum High Speed Steel) เหล็กกล้าความเร็วสูงจำนวนมากจะใช้พลวงเป็นธาตุผสมหลัก เนื่องจากหนึ่งส่วนผสมของมันจะใช้แทนทังสเตนได้ถึงสองส่วนเหล็กกล้าความเร็ว สูงจากพลวง 6-6-4-2 ประกอบด้วยทังสเตน6% พลวง6% โครเมี่ยม4% และวานาเดียม2% มีคุณสมบัติในด้านความเหนียวแน่นและความสามารถในการตัดที่ดีเยี่ยม
3. เหล็กกล้าความเร็วสูงพิเศษ เป็นเหล็กกกล้ารอบสูงที่มีการเติมโคบอลต์ลงไปในช่วง 2% – 5% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อุณหภูมิสูง ตัวอย่างในส่วนผสมหนึ่งในเหล็กกล้าชนิดนี้ ได้แก่ ส่วนธาตุผสมที่ประกอบด้วยทังสเตน 20% โครเมี่ยม 4% วานาเดียม 2% และโคบอลต์ 12% ซึ่งจะใช้เฉพาะการตัดขนาดหนักที่จะต้องต้านทานกับแรงดันและอุณหภูมิสูง เนื่องจากราคาของวัสดุนี้จัดว่าสูงมาก
e-02-4
3. Cast_Nonferrous_Alloys_cutting_toolโลหะผสมหล่อนอกกลุ่มเหล็ก (Cast Nonferrous Alloys) โลหะผสมนอกกลุ่มเหล็กจำนวนมากประกอบด้วยส่วนผสมหลัก โครเมี่ยม โคบอลต์ และทังสเตน กับธาตุผสม เช่นแทนทาลัม(Tantalum) พลวง หรือโบรอน (Boron) ซึ่งเป็นวัสดุที่เหมาะสมสำหรับทำเครื่องมือตัด เมื่อหล่อให้เข้ารูปแล้ววัสดุจะมีความแข็งขณะร้อนแดงสูง และสามารถรักษามุมตัดที่ดีไว้ได้จนถึงอุณหภูมิ 925 องศาเซลเซียส เปรียบเทียบกับเหล็กกล้าความเร็วสูงมันจะสามารถใช้ได้ที่อัตราเร็วตัดสูง กว่าถึง 2 เท่าที่อัตราการป้อนเดียวกัน แต่มีความเปราะมากกว่า ไม่ตอบสนองต่อกรรมวิธีทางความร้อนและทำการตัดปาดได้ด้วยการเจียรนัยเพียง วิธีเดียวเท่านั้น เครื่องมือตัดที่มีรูปร่างซับซ้อนสามารถขึ้นรูปได้โดยการหล่อในแม่แบบเซรา มิคส์ หรือโลหะแล้วทำผิวสำเร็จโดยการเจียรนัย คุณสมบัติของชิ้นงานภายหลังการหล่อจะแปรไปตามระดับของการหล่อเย็นที่เนื้อ วัสดุได้รับในระหว่างการหล่อ ซึ่งส่วนผสมของเนื้อวัสดุเหล่านี้จะอยู่ในช่วงของทังสเตน 12% – 25% โคลอบต์ 40% – 50% และโครเมี่ยม 15% – 35% ร่วมกับธาตุที่ทำให้เกิดการก่อตัวของคาร์ไบด์ เช่นคาร์บอนในช่วง 1% – 4% คุณสมบัติที่ได้คือ มีความต้านทานต่อการเกิดแอ่งและความต้านทานต่อการกระแทก ส่วนในด้านของประสิทธิภาพในการตัดนั้นจะอยู่ระหว่างเหล็กกล้าความเร็วสูง และเหล็กกล้าคาร์ไบด์

e-02-5
4. Carbide คาร์ไบด์ (Carbide หรือ Cemented Carbide / Sintered Carbide) มีดเล็บคาร์ไบด์ (Carbide Cutting Tool) ทำขึ้นจากผงโลหะของทังสเตนคาร์ไบด์ และโคบอลต์ ซึ่งถูกอัดให้มีรูปร่างตามต้องการแล้วนำเข้าสู่กระบวนการกึ่งยึดเหนี่ยวใน เตาซึ่งมีบรรยากาศของไฮโดรเจนที่อุณหภูมิ 1550 องศา จากนั้นจึงทำผิวสำเร็จโดยการเจียรนัย เครื่องมือคาร์ไบด์นี้มีส่วนผสมของทังสเตนคาร์ไบด์ประมาณ 94 % และโคบอลต์ 6 % เหมาะสมกับการตัดปาดเหล็กหล่อและวัสดุอื่นๆจำนวนมากยกเว้นเหล็กกล้า เนื่องจากเศษตัดจะยึดติดหรือเชื่อมตัวเข้ากับผิวหน้าคาร์ไบด์และผังตัวลงใน เครื่องมือตัดอย่างเร็ว อย่างไรก็ตามข้อบกพร่องนี้อาจแก้ไขได้โดยการเติมไททาเนียมและแทนทาลัมคาร์ไบ ด์ เข้าผสมพร้องกันกับเพิ่มปริมาณของโคบอลต์ ซึ่งในเครื่องมือตัดของคาร์ไบด์ที่เหมาะแก่การปฏิบัติสำหรับเหล็กล้าจะ ประกอบไปด้วย ทังสเตนคาร์ไบด์ 82% ไททาเนี่ยมคาร์ไบด์ 10% และโคบอลต์ 8% มีค่าสัมประสิทธิ์ต่ำเหมาะสมกับการปฏิบัติการทั่วไป
คาร์ไบด์ มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถคงทนต่ออุณหภูมิสูงกว่า 1200 องศา และเป็นวัสดุสังเคราะห์ที่แข็งที่สุดเท่าที่ผลิตขึ้นได้ และยังมีความแข็งแรงทางด้านแรงอัดสูง แต่มีข้อเสียในด้านที่มีความเปราะสูง มีความต้านทานต่อการกระทบกระแทกต่ำ และต้องการฐานรองรับอย่างมั่นคงแข็งแรงเพื่อป้องกันการแตกร้าว ทั้งยังทำการเจียรนัยได้อย่างลำบาก เฉพาะกับล้อขัดซิลิกอนคาร์ไบด์ หรือเพชรเท่านั้นโดยจะต้องรักษามุมห่าง (Clearance Angle) ไว้ให้ต่ำที่สุด เครื่องมือตัดคาร์ไบด์จะสามารถทำการตัดด้วยอัตราเร็ว 2 – 3 เท่า ของเครื่องมือตัดจากโลหะผสมหล่อแต่ในอัตราการป้อนที่น้อยกว่ามาก เครื่องมือคาร์ไบด์จึงมีประสิทธิ์ภาพการทำงานสูง โดยเครื่องจักรสำหรับเครื่องมือคาร์ไบด์จะต้องมีความมั่นคงแข็งแรง มีกำลังพอเพียงและมีช่วงของการป้อน และอัตราเร็วรอบที่เหมาะสม
ทังสเตนคาร์ไบด์ที่มีความละเอียดของเกรนสูง (Micrograin Carbide) มีความแข็งแรงสูง ใช้งานในที่ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือตัดคาร์ไบด์ปกติ เนื่องจากอัตราเร็วดัดที่ใช้มีค่าต่ำจนเกินไป ซึ่งเครื่องมือตัดโดยทั่วไปไม่สามารถทานต่อการสึกหรอได้ รวมทั้งปฏิบัติการขึ้นรูปหรือการตัดขาดเครื่องมือคาร์ไบด์อาจเคลือบด้วยขั้น ตัวประสาน (Bonded layer) ที่ขนาดความหนา 0.05-0.08 มม. ของไททาเนี่ยมคาร์ไบด์ อลูมินัมออกไซด์ (Aluminum Oxide) หรือไทนาเนี่ยมไนไตรด์ (Titanium Nitride) เพื่อลดความร้อนจากการวิ่งผ่านของเศษตัดบนเครื่องมือ อย่างไรก็ดีเครื่องมือตัดที่มีการเคลือบนี้ไม่เหมาะสมกับชิ้นงานที่มีสะเก็ด มากหรือมีทรายเจือปนอยู่
e-02-6
5. เพชร (Diamond) เพชรใช้เป็นเครื่องมือตัดคมเดี่ยวสำหรับการตัดขนาดเบาะที่อัตราเร็วสูง ซึ้งต้องมีการรองรับอย่างมั่นคงแข็งแรงเนื่องจากวัสดุเพชรมีความแข็งและ เปราะสูงมากเป็นพิเศษ รูปแบบของการใช้งานคือ ใช้ในการตัดปาดวัสดุที่มีความแข็งจนยากต่อการปฏิบัติการด้วยเครื่องมืออื่น ๆ ทั้งยังต้องการความแม่นยำและผิวสำเร็จที่ดีเยี่ยมหรือใช้ในการตัด่ขนาดเบา ที่ความเร็วสูงสำหรับวัสดุอ่อนกว่า เช่น การตัดปาดพลาสติก ยางแข็ง คาร์บอนอัดและอลูมินัมที่อัตราเร็วตัด 5-25 เมตรต่อวินาที รวมทั้งสามารถใช้ในการตบแต่งล้อหินเจียรนัย แม่แบบดึงลวดขนาดเล็ก การเจียรนัยและการขัดถูจำเพาะอย่าง มีความทนทานกว่าคาร์ไบด์ถึง 10 เท่า (400 ชิ้นงาน)

e-02-7
6. Ceramic_cutting_tool_2 เซรามิคส์ (Ceramic) เป็นส่วนผสมของผงอลูมินัมออกไซด์และสารตัวเดิมจำพวก ไททาเนียม (Titanium) แมกนีเซียม (Magnesium) หรือโครเมี่ยมออกไซด์ (Chromium Oxide) รวมตัวประสานที่นำผ่านเข้าขบวนการทำมีดเล็ก (Cutting Tool Insert) ตัวมีดเล็บที่ได้อาจยึดเข้ากับฐานมีดได้ทั้งโดยการใช้ตัวบีบจับ (Clamp) หรือการใช้อีพอกซีเรซิน (Epoxy Resin) โดยสมบัติของมีดเล็บคือมีความแข็งแรงในด้านการรับแรงอัดสูงเป็นอย่างยิ่งแต่ ค่อนข้างเปราะ ดังนั้นมีดเล็บจึงต้องมีค่ามุมคายเป็นลบในช่วง 5-7 องศา เพื่อความแข็งแรงเช่นเดียวกับฐานการรองรับซึ่งต้องทำอย่างแน่นหนาเครื่องมือ ตัดซิลิกอนไนไตรด์ (Silicon Nitride) ซึ่งมีชื่อรหัสเป็น S-8 จะใช้ในการตัดปาดเหล็กหล่อวัสดุจากเซรามิกส์ชนิดนี้มีอายุการใช้งานถึง 1,500 ชิ้นงานเหล็กหล่อในขณะที่เครื่องมือทังสเตนคาร์ไบด์เคลือบผิวมีอายุงานเพียง 250 ชิ้นงาน
สินค้าดี มีคุณภาพ นำเข้าจากต่างประเทศ จัดเต็มมีสินค้าพร้อมบริการจัดส่งและติดตั้งมีความประสงค์ต้องการสินค้าแบบไหนที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกลสอบถามเราได้เลยครับ พร้อมให้คำแนะนำปรึกษาอย่างละเอียด
IIT GROUP รับซ่อมแซมเครื่องจักรทุกชนิด ทั้งระบบแมนนวล และ ระบบ CNC พร้อมรับประกันงานซ่อม ต้องการแก้ไขปัญหาเครื่องจักร ติดต่อ IIT GROUP เบอร์โทร 02-195-7347- 49 
หรือ 
www.iitgroup.in.th

"มองหาคุณภาพงานซ่อมเครื่องจักร เจาะจง 
IIT GROUP"
ที่ไหนซ่อมไม่จบบริการไม่ถูกใจ ลองเรียกใช้ 
IIT GROUP ชื่อนี้ไม่ผิดหวังครับ 







รอบรู้เรื่องอุตสาหกรรม ตอน จาระบี 

จาระบี (Grease) เป็นวัสดุในงานอุตสาหกรรมที่เราต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่จะมีสักกี่คนที่จะให้ความสนใจถึงชนิดต่าง ๆ ของจาระบี และรู้จักเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน เพราะในความเป็นจริงนั้นจาระบี แบ่งออกเป็นหลายชนิดตามวัตถุดิบที่สร้าง และผลิตออกมาให้เหมาะกับการใช้งานต่าง ๆ กัน การเลือกใช้ให้ถูกต้องจะช่วยให้เครื่องมือ/เครื่องจักรของเรามีอายุการใช้ งานยาวนาน และไม่ต้องคอยซ่อมบำรุงกันอยู่บ่อย ๆ
จาระบีคืออะไร ?
จาระบีมีหน้าตาดังแสดงในรูปที่ 1 เป็นสารกึ่งของเหลว/กึ่งของแข็ง โดยเป็นสารผสมระหว่างน้ำมันหล่อลื่น (Fluid Lubricant), สารทำให้เข้มข้น (Thicker) และสารเติม (Additives)

น้ำมัน หล่อลื่น ที่นำมาผสมเป็นจาระบี อาจเป็นได้ทั้งน้ำมันปิโตรเลียม (Petroleum), น้ำมันสังเคราะห์ (Synthetic Oil) หรือน้ำมันพืช (Vegetable) ส่วนสารทำให้เข้มข้นนั้นจะช่วยให้จาระบีมีคุณลักษณะที่เหนียว และมีโครงสร้างวัสดุที่ดูเป็นเส้นใย 3 มิติ หรือเป็นเหมือนก้อนฟองน้ำที่ดูดซับและชุ่มไปด้วยน้ำมัน

สารทำให้เข้ม ข้นได้แก่ สบู่, สารอินทรีย์ หรือสารอนินทรีย์ที่ไม่ใช่สบู่ ทั้งนี้จาระบีส่วนใหญ่ในท้องตลาดเป็นสารประกอบที่ผลิตจากน้ำมันจากแร่ ผสมกับสารทำให้เข้มข้นที่เป็นสบู่ ในขณะที่สารเติมที่กล่าวถึงในตอนต้นนั้นจะใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มคุณสมบัติ พิเศษให้จาระบี และป้องกันเนื้อจาระบี

การใช้งานจาระบี
จาระบี จะทำหน้าที่เกาะติด และรักษาพื้นผิวที่มีการเคลื่อนที่ ไม่ให้น้ำหนัก, แรงจากการหมุน หรือแรงจากการเสียดสีทำให้หน้าสัมผัสเกิดความเสียหาย และข้อกำหนดหลักของจาระบีในทางปฏิบัติก็คือจะต้องรักษาคุณสมบัติของเฉพาะตัว เอาไว้ให้ได้แม้ว่าอุณหภูมิแวดล้อมจะสูงขึ้น ข้อควรจำอย่างแรกก็คือ จาระบีและน้ำมันหล่อลื่นไม่สามารถใช้แทนกันได้ น้ำมันหล่อลื่นจะถูกใช้ในงานหล่อลื่นเครื่องจักรกลซึ่งมีการระบุใช้กับน้ำมันหล่อลื่นตามคุณสมบัติที่กำหนดเอาไว้เท่านั้น 
เราจะใช้จาระบีก็ต่อเมื่อในทางปฏิบัตินั้นไม่สะดวกที่จะใช้น้ำมันหล่อลื่น และ เราควรใช้จาระบีในลักษณะงานต่อไปนี้
1. เครื่องจักรที่ทำงานไม่ต่อเนื่อง หรือเครื่องจักรที่ต้องถูกเก็บไว้เป็นเวลานาน ๆ เพราะชั้นฟิล์มหล่อลื่นของจาระบีจะช่วยรักษาชิ้นส่วนเคลื่อนที่ของเครื่อง จักรเอาไว้
2. เครื่องจักรที่ผู้ใช้ไม่สะดวกที่จะใส่น้ำมันหล่อลื่นได้บ่อย ๆ หรือใส่น้ำมันหล่อลื่นได้ยาก เช่น ในตำแหน่งที่คับแคบ และเข้าถึงได้ยาก
3. เครื่องจักรที่ทำงานในสภาวะหนัก เช่นอุณหภูมิสูง, ความดันสูง, แรงสั่นสะเทือนมาก หรือเครื่องจักรความเร็วรอบต่ำแต่โหลดหนัก ๆ เป็นต้น เพราะภายใต้สภาวะดังกล่าว
จาระบีจะเป็นเหมือนเบาะรองที่มีความหนาให้กับหน้าสัมผัส ช่วยให้เกิดการหล่อลื่นได้ดี 
ในขณะที่ถ้าเป็นน้ำมันหล่อลื่นนั้นชั้นรองจะบางเกินไปและเกิดแยกตัวออกได้
4. ชิ้นส่วน หรือเครื่องจักรเก่า เพราะจาระบีจะช่วยลดช่องว่างของชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนที่ของเครื่องจักร ให้น้อยลง ช่วยยืดอายุของเครื่องจักรเก่าซึ่งเคยใช้น้ำมันเป็นสารหล่อลื่นมาก่อน และจาระบียังช่วยลดเสียงดังรบกวนที่เกิดจากการเสียดสีของเครื่องจักรเก่า ด้วย
คุณสมบัติในการทำงานของจาระบี
1. จาระบีจะต้องเป็นเหมือนสารผนึกที่ช่วยลดรอยรั่ว หรือช่องว่าง และป้องกันชิ้นส่วนจากวัตถุเจือปน และฝุ่นละออง 
2. จาระบีต้องมีความง่ายในการใช้กว่าน้ำมันหล่อลื่น เพราะการหล่อลื่นด้วยน้ำมันต้องอาศัยระบบและอุปกรณ์ที่มีราคาแพง
3. จาระบีจะต้องยึดจับของแข็งที่เป็นสารแขวนลอย ในขณะที่ถ้าเป็นน้ำมันหล่อลื่นสารแขวนลอยจะกระจายตัวในน้ำมัน
4. ระดับของเหลวไม่ต้องควบคุม หรือต้องคอยตรวจสอบ
ข้อด้อยของจาระบี
1.มีคุณสมบัติในการถ่ายเทความร้อนต่ำ เนื่องจากความเหนียวของจาระบีทำให้การนำพาความร้อนไม่สามารถทำได้เหมือนน้ำมัน
2.ความ ต้านทานต่อการเคลื่อนที่ ในช่วงการเริ่มเดินเครื่องจักร (Start-up) จาระบีจะสร้างแรงต้านการเคลื่อนที่ ดังนั้นจาระบีอาจไม่เหมาะกับงานที่มีแรงบิดต่ำแต่ความเร็วรอบสูง
3.ชำระล้างหรือถ่ายเทออกยากกว่าน้ำมันและระดับที่แท้จริงของการใส่จาระบีก็ยากที่จะวัดค่าออกมา                    
คุณลักษณะเฉพาะของจาระบี
- ความหนืด เมื่อเริ่มเดินเครื่องจักรจาระบีจะมีความต้านทานต่อการเคลื่อนที่ของเครื่อง จักร แต่พอความเร็วสูงขึ้นการต้านทานของจาระบีจะน้อยลง ซึ่งคุณลักษณะนี้เรียกว่าความหนืด เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีของน้ำมันนั้นจะต่างกัน เพราะน้ำมันที่อุณหภูมิคงที่จะมีระดับความหนืดเท่าเดิมทั้งในช่วงการเริ่ม เดิน และช่วงการทำงานของเครื่องจักร สำหรับจาระบีความหนืดที่เกิดเป็นความหนืดปรากฏ (Apparent Viscosity) 
 - การแตกซึม (Bleeding) เป็นสภาวะที่ของเหลวแยกตัวออกจากสารทำให้เข้มข้น (Thicker) สภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิการใช้งานสูง และอาจเกิดขึ้นเมื่อมีการจัดเก็บจาระบีเอาไว้เป็นเวลานาน ๆ โดยไม่ได้ใช้ เมื่อจาระบีถูกสูบผ่านท่อในระบบหล่อลื่นจะเกิดแรงต้านการไหลขึ้น ซึ่งต่างจากกรณีของน้ำมันที่จะไหลได้อย่างต่อเนื่อง
 - ความเหนียวแน่น (Consistency) และหมายเลข NLGI คุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของจาระบีก็คือความเหนียวแน่น เพราะจาระบีที่แข็งเกินไปจะไม่สามารถถูกป้อนเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการหล่อ ลื่นได้โดยง่าย ในขณะที่ถ้าจาระบีเหลวมากเกินไปก็จะเกิดการรั่วซึมได้ ความเหนียวแน่นของจาระบีขึ้นอยู่กับชนิด, ขึ้นอยู่สารทำให้เข้มข้นที่ใช้ และยังขึ้นอยู่กับความหนืดของน้ำมันที่ใช้ผลิตจาระบีนั้น ๆ อีกด้วย โดยสรุปแล้วความเหนียวแน่นของจาระบีก็คือค่าความต้านทานของจาระบีต่อการ เปลี่ยนรูปเมื่อมีแรงมาทำต่อจาระบีนั่นเอง 

ค่าความเหนียวแน่นของ จาระบีได้มีการกำหนดเป็นหมายเลขแสดงระดับความเหนียวแน่น โดยสถาบันจาระบีหล่อลื่นแห่งชาติสหรัฐ ฯ (National Lubricating Grease Institute) กำหนดเป็นหมายเลข NLGI ตั้งแต่หมายเลข 000 ถึง 6 ดังแสดงในตารางที่ 1 แสดงระดับความเหนียวแน่นของจาระบีซึ่งได้ หมายเลขนี้ได้จากการทดสอบด้วยการวางกรวยน้ำหนักที่ทราบค่าบนจาระบีแล้ววัด ระดับการจมลึกลงในเนื้อจาระบีในเวลา 5 วินาที ที่ระดับอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส

- คุณลักษณะการดักจับฝุ่นผง จาระบีจะเป็นตัวยึดเกาะฝุ่นผงเอาไว้ที่ผิวเนื้อด้านนอกของจาระบี ซึ่งคุณลักษณะนี้จะช่วยป้องกันฝุ่นผง ซึ่งอาจเป็นเศษโลหะไปทำให้บริเวณใช้งานเกิดการสึกหรอได้ อย่างไรก็ตามถ้าฝุ่นผงมากเกินไป มันก็จะจมลงในเนื้อจาระบีและเข้าไปถึงพื้นผิวหล่อลื่นจนกลายเป็นการเร่งให้ เกิดการสึกหรอเร็วขึ้นกว่าที่ควร
- การกัดกร่อน และความต้านทานสนิม คุณลักษณะนี้หมายถึงความสามารถของจาระบีในการปกป้องพื้นผิวโลหะจากการกัด กร่อนของสารเคมี ทั้งนี้ความต้านทานสารเคมีโดยธรรมชาติของจาระบีจะขึ้นอยู่กับชนิดของสารทำ ให้เข้มข้นที่นำมาผลิตจาระบี ความต้านทานต่อการกัดกร่อนอาจเพิ่มขึ้นได้โดยการเติมสารยับยั้งการกัดกร่อน และยับยั้งสนิม

- จุดหยดตัว (Dropping Point) จุดหยดตัวเป็นตัวชี้ระดับความต้านทานความร้อนของจาระบี ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นเกินระดับที่กำหนดแล้วจาระบีก็จะหลอมละลายเป็นของเหลว และสูญเสียค่าความเหนียวแน่นไป จุดหยดตัวจึงเป็นระดับอุณหภูมิที่ทำให้จาระบีเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวเพียง พอที่จะทำให้เกิดเป็นหยดได้ แม้ว่าจุดหยดตัวเป็นตัวกำหนดอุณหภูมิใช้งานของจาระบี แต่เราไม่ควรอย่างยิ่งที่จะใช้งานจาระบีในย่านอุณหภูมิหยดตัว จาระบีหลายชนิดที่เมื่อหลอมละลายในระดับอุณหภูมิหยดตัวแล้ว จะกลับสู่สภาพปกติได้เมื่ออุณหภูมิเย็นลง

- การระเหย (Evaporation) ระดับอุณหภูมิของน้ำมันที่ผสมอยู่ในจาระบีจะระเหยที่ระดับ 177องศาเซลเซียส ดังนั้นถ้าอัตราการระเหยมากขึ้นจาระบีก็จะแข็งตัวมากขึ้น เนื่องจากความเข้มข้นของสารทำให้เข้มข้นมีมากขึ้น เหตุการณ์นี้ทำให้เราก็ต้องคอยใส่จาระบีบ่อยขึ้น

- เสถียรภาพออกซิเดชั่น เป็นความสามารถของจาระบีในการต้านทานผลที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างสาร เคมีกับออกซิเจน เพราะการเกิดออกซิเดชั่นจะทำให้เกิดคราบสกปรกหรือเกิดเป็นตะกอนแข็ง เป็นสาเหตุให้หน้าสัมผัสหล่อลื่นเกิดการสึกหรอได้ 

- ความสามารถในการสูบ (Pumpability) และความสามารถในการป้อน (Feedability) ความ สามารถในการสูบ เป็นคุณลักษณะของจาระบีที่จะถูกสูบ หรือถูกอัดเข้าสู่ระบบการหล่อลื่น ทั้งนี้ในทางปฏิบัติอาจหมายถึงความง่ายที่จะทำให้จาระบีที่มีความดันสูงผ่าน เข้าไปยังส่วนของท่อ, น็อตเซิล, หรือข้อต่อต่าง ๆ ของระบบป้อนกระจายจาระบี (Grease-Dispensing System) ในขณะที่ความสามารถในการป้อน หมายถึงความสามารถที่จาระบีจะถูกดูดเข้าไปในปั๊มอัด ทั้งนี้จาระบีที่มีเนื้อสารแบบเส้นใยเหนียวนั้นมีความสามารถในการป้อนสูง แต่มีความสามารถในการสูบต่ำ หรือถ้าเป็นจาระบีที่มีเนื้อสารเหมือนเนย ก็จะมีความสามารถในการสูบดี แต่มีความสามารถในการป้อนต่ำ

- ความมีเสถียรภาพจากการถูกตัดเฉือน ความเหนี่ยวแน่นของจาระบีอาจเปลี่ยนแปลงเมื่อนำไปใช้งานซึ่งต้องมีการตัด เฉือนระหว่างหน้าสัมผัสเคลื่อนที่ ความมีเสถียรภาพจากการถูกตัดเฉือนจึงเป็นความสามารถของจาระบีที่จะรักษา ระดับของความเหนี่ยวแน่นได้เมื่อถูกตัดเฉือน

- ผลกระทบจากอุณหภูมิสูง อุณหภูมิสูงจะสร้างความเสียหายให้กับจาระบีมากกว่าน้ำมันหล่อลื่น ทั้งนี้เนื่องจากจาระบีจะไม่สามารถกระจายความร้อนด้วยการพาความร้อนเหมือน กับน้ำมัน นอกจากนี้จาระบียังไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้อีกด้วย ผลก็คือทำให้ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นถูกเร่ง เมื่ออุณหภูมิสูงจาระบีจะละลายและไหลออกจากบริเวณที่ต้องให้การหล่อลื่น นอกจากนี้จาระบีที่ละลายอาจเกิดการวาบไฟ หรือเผาไหม้ขึ้นมาได้หากอุณหภูมิสูงกว่า 177 องศาเซลเซียส

- ผลกระทบจากอุณหภูมิต่ำ ถ้าอุณหภูมิต่ำมากเกินไปจาระบีจะมีมีความหนืดมากขึ้น ทำให้เปลี่ยนรูปเป็นจาระบีที่แข็งมากขึ้นจนส่งผลต่อประสิทธิภาพการหล่อลื่น ทำให้แรงบิด และกำลังขับของเครื่องจักรเปลี่ยนไป และอุณหภูมิต่ำมากจนทำให้เกิดสภาวะเช่นนี้สามารถตรวจสอบได้จากคู่มือหรือ ฉลากของ ผลิตภัณฑ์                                                                                                                                   

- ความต้านทานน้ำ เป็นความสามารถของจาระบีที่จะคงทนต่อผลกระทบจากน้ำได้โดยไม่มีการเปลี่ยน ความสามารถในการเป็นสารหล่อลื่น จาระบีที่ต้านทานน้ำได้จะช่วยให้พื้นผิวลดโอกาสที่จะเกิดสนิมได้อีกด้วย

การเลือกใช้จาระบี
          เมื่อจะเลือกใช้จาระบี สิ่งที่ต้องพิจารราเป็นหลักก็คือการกำหนดคุณสมบัติที่ต้องการของงานนั้น ๆ เพื่อที่จะเลือกจาระบีให้เหมาะกับงาน ดังแสดงในตารางที่ 2 เป็นแนวทางการเลือกใช้จาระบีให้เหมาะกับงานต่าง ๆ ในตารางนี้แสดงจาระบีชนิดที่ใช้กันโดยทั่วไป 10 ชนิด พร้อมทั้งข้อมูลคุณสมบัติทั่ว ๆ ไป, พิกัดอุณหภูมิ และหลักในการใช้ (ข้อมูลในตารางได้มาจาก NLGI Lubricating Grease Guild, 4th Ed.)